ฝ่ายท้าววิราฏหลังจากได้รับชัยชนะจากการรบกับพระราชาสุสาร์มา ก็เคลื่อนทัพกลับแคว้นมัสยะอย่างมีความสุข แต่ทันทีที่ท้าววิราฏกลับมาที่เมืองก็มีเหล่าเสนาบดีแจ้งข่าวว่ากองทัพหัสตินาปุระยกพลมาตีกระหนาบ ไล่ต้อนฝูงปศุสัตว์ไปเป็นจำนวนมาก มีเพียงเจ้าชายอัตราผู้เดียวที่ออกนำทัพไปตั้งรับ
ท้าววิราฏตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าชายอัตรายังเป็นเด็กไม่มีประสบการณ์นำทัพ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะต่อกรกับแม่ทัพของหัสตินาปุระ แต่กังกะ (ยุธิษเฐียร) ก็พูดให้ท้าววิราฏวางใจได้ เพราะเจ้าชายอัตรามีพฤหันนลาเป็นสารถี กังกะเสริมต่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้พฤหันนลาเป็นสารถีย่อมได้รับชัยชนะในสงครามอย่างแน่นอน
คำพูดของกังกะช่วยให้ท้าววิราฏใจเย็นลง จากนั้นไม่นานข่าวการชนะศึกของเจ้าชายอัตราก็มาถึง ส่งผลให้ความกังวลใจของท้าววิราฏแปรเปลี่ยนเป็นความปลาบปลื้มใจที่เจ้าชายอัตราสามารถรบชนะแม่ทัพอันเก่งกาจของหัสตินาปุระ ท้าววิราฏสั่งการให้เตรียมการต้อนรับเจ้าชายอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ
ระหว่างที่รอเจ้าชายอัตราเดินทางกลับมานั้น ท้าววิราฏนึกครึ้มอกครึ้มใจจึงเรียกให้กังกะมาตั้งกระดานสกาเพื่อจะได้เล่นสกาฆ่าเวลา แต่กังกะปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าการเล่นสกาในเวลาที่จิตใจไม่คงที่จะนำมาซึ่งความเสียหายในภายหลังได้
ท้าววิราฏได้ยินกังกะปฏิเสธดังนั้นก็เกิดความโมโห จึงหยิบลูกเต๋าบนกระดานสกาปาไปที่หัวของกังกะ ลูกเต๋ากระแทกเข้ากับหัวของกังกะจนเลือดออก กังกะรีบเอามือไปกดแผลเลือดออกไว้ แม้กระทั่งนางไศรันธรี (เทราปที) ก็ยังนำพานมารองไม่ให้เลือดของกังกะหยดลงที่พื้น เพราะหากเลือดของยุธิษเฐียรหยดลงบนผืนแผ่นดินใด แผ่นดินนั้นจะประสบภัยภิบัติแห้งแล้งเป็นเวลา 12 ปี